มะเร็งท่อน้ำดีคืออะไร รู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้น
มะเร็งท่อน้ำดีคืออะไร รู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้น
โรคมะเร็งท่อน้ำดีเป็นก้อนเนื้อร้ายที่พบในบริเวณท่อน้ำดีภายนอกตับ ตั้งแต่ขั้วตับจนถึงส่วนปลายล่างของท่อน้ำดีใหญ่ โดยสามารถแบ่งได้เป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับและนอกตับ
จากการศึกษา พบว่าโรคนี้มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป การวินิจฉัยและรักษาในระยะเริ่มแรกจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการควบคุมและบรรเทาอาการของผู้ป่วย
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดี
ท่อน้ำดีเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายที่ทำหน้าที่ขับถ่ายน้ำดีออกจากตับ แต่ในบางกรณีท่อน้ำดีอาจเกิดการอักเสบหรือเกิดความผิดปกติอื่นๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดีได้
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดีมีดังนี้:
- การอักเสบเรื้อรังของท่อน้ำดี: การอักเสบเรื้อรังของท่อน้ำดีเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็ง เนื่องจากการอักเสบเรื้อรังจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเซลล์ และนำไปสู่การพัฒนาเป็นเนื้องอกได้
- นิ่วในท่อน้ำดีหรือถุงน้ำดี: ประมาณ 20-57% ของผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีมีนิ่วในท่อน้ำดีหรือถุงน้ำดี ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เนื่องจากการอักเสบเรื้อรังของถุงน้ำดีและท่อน้ำดีอาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งได้
- ความผิดปกติของท่อน้ำดีตั้งแต่เกิด: การที่มีซีสต์ในท่อน้ำดีตั้งแต่แรกเกิดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเซลล์ และนำไปสู่การเกิดมะเร็งได้ง่ายขึ้น
- โรคพยาธิใบไม้ตับ: การรับประทานปลาดิบอาจทำให้เกิดการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งอาจนำไปสู่การอักเสบเรื้อรังของท่อน้ำดี และเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งท่อน้ำดีได้
ดังนั้น การดูแลและป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่างๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดี
อาการของโรคมะเร็งท่อน้ำดีที่ควรเฝ้าระวัง
- ผิวและตาเหลือง: การอุดตันของท่อน้ำดีส่งผลให้สารบิลิรูบินสะสมในร่างกาย ทำให้ผิวและตาเหลืองเป็นอาการเด่น
- ปวดท้อง: หลังรับประทานอาหาร อาจรู้สึกไม่สบายบริเวณด้านบนของท้อง หรือปวดเสียดใต้ลิ้นปี่ รวมถึงปวดบริเวณหลังหรือด้านขวาบนของท้อง อันเป็นผลจากการลุกลามของก้อนมะเร็งที่กดทับเส้นประสาท
- ไข้: ก้อนมะเร็งที่อุดตันท่อน้ำดีอาจทำให้เกิดการอักเสบภายในท่อน้ำดี ส่งผลให้มีไข้ได้
- คันตามผิวหนัง: การสะสมของสารบิลิรูบินอาจทำให้เกิดอาการคันตามผิวหนังทั่วร่างกาย
- นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการร่วมอื่นๆ เช่น ไม่อยากอาหาร เบื่ออาหารมัน อ่อนเพลีย น้ำหนักลด คลื่นไส้ และอาเจียน หากพบอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
การวินิจฉัยมะเร็งท่อน้ำดี
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจความผิดปกติของการทำงานของตับ
- การตรวจอัลตราซาวด์ตับและช่องท้องส่วนบน
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือ เอกซเรย์แม่เหล็ก (MRI + MRCP)
- การตรวจ ERCP (Endoscopic Retrograde Cholangiopancreatography) เป็นเทคนิคการตรวจทางการแพทย์ที่ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นและประเมินสภาพของระบบท่อน้ำดีและตับอ่อนได้อย่างละเอียด ช่วยให้สามารถเก็บตัวอย่างน้ำดีและเซลล์เพื่อตรวจหาสาเหตุของปัญหา เช่น มะเร็งท่อน้ำดี
การรักษามะเร็งท่อน้ำดี
การรักษาจะพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาด ตำแหน่ง และลักษณะของเซลล์มะเร็ง ระยะโรคและการกระจายของมะเร็ง รวมถึงสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เพื่อหาแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
- การผ่าตัดเนื้องอก เป็นวิธีการรักษามาตรฐานที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้
- การผ่าตัดระบายท่อน้ำดี กรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดเนื้องอกออกได้ เพื่อบรรเทาอาการคันและตาเหลือง
- การส่องกล้องตรวจรักษาท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP) ในบางกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้หรือผู้ป่วยไม่เหมาะสมกับการผ่าตัด
- เคมีบำบัดและรังสีรักษา อาจนำมาใช้เมื่อไม่สามารถผ่าตัดเอามะเร็งออกได้หมด หรือใช้ร่วมกับการผ่าตัดเพื่อเพิ่มโอกาสการหายขาด
ทั้งนี้ การรักษาจะต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด