การตรวจคัดกรองมะเร็งในระยะเริ่มต้น
การตรวจคัดกรองมะเร็งในระยะเริ่มต้น
ความสำคัญและวิธีการตรวจที่ควรรู้
การตรวจคัดกรองมะเร็งในระยะเริ่มต้นเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและการอยู่รอดของผู้ป่วยมะเร็ง การตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้นสามารถทำให้แพทย์วางแผนการรักษาได้ตรงจุด และช่วยลดความรุนแรงของโรคได้อย่างมีนัยสำคัญ มาดูกันว่าทำไมการตรวจนี้จึงสำคัญและวิธีการตรวจที่มีอยู่มีอะไรบ้าง
ทำไมการตรวจคัดกรองมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้นถึงสำคัญมาก?
- การรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น: มะเร็งที่พบในระยะเริ่มต้นมีโอกาสสูงที่จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากยังไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ การรักษาในระยะนี้อาจใช้เพียงการผ่าตัดเฉพาะจุดหรือการฉายรังสี ทำให้ลดความเสี่ยงและผลข้างเคียงจากการรักษาลง
- ลดค่าใช้จ่ายในการรักษา: การรักษามะเร็งในระยะเริ่มต้นมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการรักษาในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายไปแล้ว เนื่องจากการรักษามะเร็งในระยะท้ายๆ อาจต้องใช้วิธีการที่ซับซ้อนกว่า เช่น การทำเคมีบำบัดหรือการปลูกถ่ายไขกระดูก
- ปรับปรุงคุณภาพชีวิต: ผู้ป่วยที่ตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้นมักจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า เนื่องจากสามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติมากกว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ตรวจพบในระยะที่มีอาการหนัก
จะรู้ได้อย่างไรว่าควรตรวจคัดกรองมะเร็ง?
- การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง: หากพบว่ามีแผลที่ไม่หายขาดภายใน 2-3 สัปดาห์ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของไฝหรือจุดบนผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งผิวหนัง
- เลือดออกผิดปกติ: การมีเลือดออกในปัสสาวะ อุจจาระ หรือน้ำลาย โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งในอวัยวะต่างๆ เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด หรือมะเร็งลำไส้
- อาการเจ็บหน้าอกเรื้อรังหรือไอไม่หาย: หากมีอาการไอที่ไม่หายขาดภายใน 3-4 สัปดาห์ หรือรู้สึกเจ็บหน้าอกเรื้อรัง อาจต้องเข้ารับการตรวจปอดเพื่อตรวจหามะเร็งปอด
เทคโนโลยีและวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งที่ควรรู้
การตรวจคัดกรองมะเร็งมีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีจะเหมาะกับมะเร็งแต่ละชนิดและสภาพร่างกายของผู้ป่วย ดังนี้:
-
1. การตรวจเลือดหาค่าบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Markers):
การตรวจเลือดสามารถช่วยตรวจหาสารบ่งชี้ที่อาจเกิดจากเซลล์มะเร็ง เช่น PSA สำหรับมะเร็งต่อมลูกหมาก, CA-125 สำหรับมะเร็งรังไข่ และ AFP สำหรับมะเร็งตับ อย่างไรก็ตาม ค่าบ่งชี้เหล่านี้ไม่สามารถใช้ยืนยันการเป็นมะเร็งได้โดยตรง แต่จะใช้เป็นตัวชี้วัดให้แพทย์สั่งการตรวจเพิ่มเติม
-
2. การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram):
การตรวจแมมโมแกรมเป็นวิธีที่ได้มาตรฐานในการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม โดยสามารถตรวจพบก้อนเนื้อหรือแคลเซียมในเต้านมได้ตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งอาจไม่สามารถสัมผัสได้จากการตรวจด้วยตนเอง การตรวจนี้แนะนำให้ทำประจำทุกปีสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
-
3. การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy):
การส่องกล้องลำไส้ใหญ่เป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงในการตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง แพทย์สามารถตรวจดูภายในลำไส้ใหญ่เพื่อหาติ่งเนื้อ (Polyps) หรือความผิดปกติที่อาจพัฒนาเป็นมะเร็งได้ แนะนำให้ทำการตรวจนี้เป็นระยะทุกๆ 5-10 ปีในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
-
4. การตรวจ CT Scan และ MRI:
การตรวจ CT Scan และ MRI สามารถสร้างภาพที่มีรายละเอียดของอวัยวะต่างๆ ได้ ทำให้แพทย์สามารถตรวจดูการกระจายของมะเร็งในร่างกาย เช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับ หรือมะเร็งสมองได้อย่างชัดเจน การตรวจนี้จะใช้ในกรณีที่แพทย์สงสัยว่ามีการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่น
-
5. การตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy):
การเจาะชิ้นเนื้อเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเมื่อต้องการยืนยันว่าก้อนเนื้อหรือความผิดปกติที่พบเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ แพทย์จะใช้เครื่องมือเจาะเนื้อเยื่อเล็กๆ จากบริเวณที่สงสัยเพื่อตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์ วิธีนี้เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในการยืนยันการวินิจฉัยมะเร็ง
ใครบ้างที่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็ง?
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง: การมีญาติใกล้ชิดเป็นมะเร็ง เช่น พ่อ แม่ หรือพี่น้อง สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้ การตรวจคัดกรองจะช่วยให้คุณตรวจพบโรคได้เร็วขึ้น
- ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป: ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก จะเพิ่มขึ้นตามอายุ การตรวจคัดกรองประจำปีเป็นสิ่งที่แนะนำ
- ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง: เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หรือผู้ที่เคยสัมผัสกับสารเคมีที่เป็นอันตราย การตรวจคัดกรองจะช่วยให้ตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ระยะแรกๆ
เคล็ดลับการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็ง
- รับประทานอาหารที่เหมาะสม: หากต้องตรวจที่ต้องการการงดอาหาร เช่น การส่องกล้องลำไส้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- จัดเตรียมข้อมูลทางการแพทย์: เช่น รายชื่อยา โรคประจำตัว และประวัติการตรวจสุขภาพ เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการตรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ทำใจให้สบาย: ความเครียดสามารถส่งผลต่อผลการตรวจได้ การทำใจให้สบายและหาคนในครอบครัวมาด้วยจะช่วยลดความกังวล
"หากมีคำถาม หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษา กรุณาปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญ เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง"
ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง
ศูนย์อายุรกรรมโรคมะเร็ง
สถานที่
ชั้น 1 โรงพยาบาลพริ้นซ์ ลำพูน
เวลาทำการ
17.00 - 20.00 น. (ทุกวันพุธ)
เบอร์ติดต่อ
053-582-888