นิ่วในถุงน้ำดี: อาการที่ไม่ควรมองข้าม
นิ่วในถุงน้ำดี
เป็นโรคที่มักพบบ่อยในกลุ่มโรคที่มีอาการปวดท้อง เกิดจากการตกตะกอนของสารต่างๆ ในน้ำดี กลายเป็นก้อนนิ่ว ค้างอยู่ภายในถุงน้ำดี ซึ่งอาจมีเพียงก้อนเดียว หรือหลายก้อนก็ได้ โรคนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การทานอาหารที่มีไขมันสูงหรือภาวะโรคอ้วน
นิ่วในถุงน้ำดีแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ:
- นิ่วคอเลสเตอรอล (Cholesterol Stones): พบบ่อยที่สุด ประมาณ 70-80% ของนิ่วทั้งหมด เกิดจากการตกตะกอนของคอเลสเตอรอล มีสีเหลือง ขาว หรือเขียว ขนาดตั้งแต่เม็ดทรายจนถึงลูกกอล์ฟ
- นิ่วเม็ดสีหรือบิลิรูบิน (Pigment Stones): พบได้น้อยกว่า ประมาณ 10-20% เกิดจากการตกตะกอนของบิลิรูบิน มีสีดำ น้ำตาล หรือเขียว ขนาดเล็กกว่านิ่วคอเลสเตอรอล มักพบในผู้ป่วยโรคตับหรือโลหิตจาง
- นิ่วโคลน (Mixed Gallstones): พบได้น้อยที่สุด เกิดจากการรวมตัวกันของคอเลสเตอรอล บิลิรูบิน และสารอื่นๆ มีลักษณะหนืด เหนียว สีน้ำตาล มักพบในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในทางเดินน้ำดี
นอกจากนี้ยังมีนิ่วชนิดอื่นๆ ที่พบได้น้อยมาก เช่น นิ่วจากแคลเซียมและนิ่วจากกรดยูริก
สาเหตุหลักของการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ได้แก่:
- คอเลสเตอรอลสูง: การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงและการมีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้
- การขาดการเคลื่อนไหวของถุงน้ำดี: ถุงน้ำดีที่ไม่สามารถหดตัวเพื่อปล่อยน้ำดีออกไปตามปกติ ทำให้เกิดการสะสมของน้ำดีและสารต่าง ๆ ภายในถุงน้ำดี
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: ฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิง โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์หรือการใช้ยาคุมกำเนิด อาจส่งผลให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้
- พันธุกรรม: บางคนอาจมีความเสี่ยงจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมในการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
อาการของนิ่วในถุงน้ำดี อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจไม่มีอาการเลย แต่บางคนอาจมีอาการที่แสดงถึงการมีนิ่วในถุงน้ำดี ดังนี้:
- ปวดท้อง: อาการปวดที่บริเวณช่องท้องขวาบนหรือใต้ซี่โครงขวา โดยเฉพาะหลังจากรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาการปวดอาจรุนแรงและยาวนานหลายชั่วโมง
- คลื่นไส้และอาเจียน: อาการคลื่นไส้และอาเจียนอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการปวดท้อง
- อาการท้องอืด: การมีนิ่วในถุงน้ำดีอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือท้องผูกได้
- เบื่ออาหาร: รู้สึกอิ่มเร็ว
- ไข้และอาการหนาวสั่น: หากมีการติดเชื้อในถุงน้ำดี อาจมีอาการไข้และหนาวสั่นร่วมด้วย
- ดีซ่าน: หากนิ่วขัดขวางการไหลของน้ำดี อาจทำให้ผิวหนังและตาเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
กลุ่มเสี่ยงนิ่วในถุงน้ำดี
- ผู้หญิง 40 ปีขึ้นไป
- ภาวะอ้วน น้ำหนักมาก
- คอเลสเตอรอลสูง
- โรคเลือด โลหิตจาง ธาลัสซีเมีย
- ตั้งครรภ์หลายครั้ง
- ทานยาคุมกำเนิด
- ทานฮอร์โมนจากภาวะหมดประจำเดือน
- ผู้ที่อดอาหาร (ถือศีลอด) หรือลดน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว
- ทานยาลดไขมันในเลือดบางชนิด
- พันธุกรรม มีประวัติคนในครอบครัว
การป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
การป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีสามารถทำได้โดยการควบคุมน้ำหนัก รักษาโรคประจำตัวเช่น เบาหวาน และความดันโลหิตสูง รวมถึงการรับประทานอาหารที่สมดุล หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง ทั้งนี้การรักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดีควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
วิธีการรักษา
การรักษาผู้ป่วยที่มีอาการจากนิ่วในถุงน้ำดี หากสามารถทำการผ่าตัดได้ แนะนำให้ผ่าตัดเพื่อเอาถุงน้ำดีออกทุกราย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน การผ่าตัดเป็นทางเลือกการรักษาคือ การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Cholecystectomy) เป็นวิธีที่แพทย์มักเลือกใช้ เพราะมีความเจ็บปวดน้อยกว่าและฟื้นตัวได้เร็วกว่า โดยการผ่าตัดนี้จะเอาถุงน้ำดีออกผ่านรูเล็ก ๆ บนหน้าท้อง แต่ในบางกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนหรือถุงน้ำดีมีขนาดใหญ่ แพทย์อาจต้องใช้การผ่าตัดแบบเปิด (Open Cholecystectomy) ซึ่งเป็นการเปิดหน้าท้องเพื่อเอาถุงน้ำดีออก
แหล่งอ้างอิง
โรงพยาบาลกรุงเทพ: นิ่วในถุงน้ำดี
โรงพยาบาลสมิติเวช: การรักษานิ่วในถุงน้ำดี
โรงพยาบาลเพชรเวช: การผ่าตัดส่องกล้องนิ่วในถุงน้ำดี
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล: นิ่วในถุงน้ำดี
ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง
ศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง MIS
สถานที่
ชั้น 1 โรงพยาบาลพริ้นซ์ ลำพูน
เวลาทำการ
08:00 - 17:00 น.
เบอร์ติดต่อ
053-582-888
แผนกศัลยกรรมทั่วไป
สถานที่
ชั้น 1 โรงพยาบาลพริ้นซ์ ลำพูน
เวลาทำการ
08:00 - 17:00 น.
เบอร์ติดต่อ
053-582-888